Cyber War 2025 บทเรียนเชิงยุทธศาสตร์จาก NATO ที่ผู้นำองค์กรไทยต้องรู้ก่อนสายเกินไป
จากกรณีที่องค์การ NATO ได้จัดการฝึกปฏิบัติการไซเบอร์ (Cyber War-Game) ครั้งใหญ่ ณ เมืองทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย เมืองสำคัญที่ตั้งอยู่ห่างจากชายแดนรัสเซียเพียง 130 ไมล์ เพื่อทดสอบความพร้อมของประเทศสมาชิก ต่อ “สงครามยุคใหม่” ที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่บนพื้นดิน แต่เกิดขึ้นบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ แสดงให้เห็นว่า นี่ไม่ได้เป็นเพียงการซ้อมรบของกองทัพโลกตะวันตกเท่านั้น แต่คือภาพสะท้อน “อนาคต” ว่า ทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน สถาบันการเงิน โทรคมนาคม พลังงาน หรือธุรกิจดิจิทัล กำลังก้าวเข้าสู่สนามรบเดียวกัน
สงครามครั้งนี้ไม่ได้ใช้รถถังหรือเครื่องบิน แต่ใช้มัลแวร์ ข่าวปลอม การเจาะระบบโครงสร้างพื้นฐาน และการทำลายความเชื่อมั่น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกประเทศและทุกองค์กรพร้อมกันในเวลาไม่กี่วินาที
ในฐานะผู้นำองค์กร การเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นกลยุทธ์ที่“จำเป็นเ”
สงครามยุคใหม่: โจมตีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทำให้ประเทศหยุดชะงัก การฝึกของ NATO แสดงให้เห็นว่า สงครามไซเบอร์ไม่ได้มุ่งแค่ระบบทหาร แต่พุ่งเป้าไปยังโครงสร้างที่ทำให้ประเทศเดินได้ เช่น ไฟฟ้า โทรคมนาคม ดาวเทียม โลจิสติกส์ ระบบพลังงาน ระบบข้อมูลภาครัฐ
นี่คือ “Single Point of Failure” ที่ถ้าล่มจะกระทบตั้งแต่รัฐบาลจนถึงประชาชนในเวลาไม่กี่นาที สำหรับผู้นำองค์กรไทย: หากธุรกิจของคุณพึ่งพาระบบดิจิทัลเพียงส่วนเดียว ทั้งองค์กรอาจหยุดชะงัก
การโจมตีไซเบอร์ ที่มาแบบหลายชั้นพร้อมกัน จะเห็นว่าสิ่งที่ NATO ใช้ในการฝึกคือ “การโจมตีหลายมิติพร้อมกัน” เช่น ไฟดับ ระบบสื่อสารล่ม มัลแวร์เจาะคลังพลังงาน ข้อมูลประชาชนรั่ว หรือ ข่าวปลอมที่ทำให้สังคมแตกแยก
นี่คือภาพจริงที่หลายประเทศเคยเจอมาแล้ว เช่น ที่ Ukraine (2022), Estonia (2007), USA (เหตุ Colonial Pipeline, 2021)
สิ่งที่ผู้นำองค์กรควรตั้งคำถาม “ถ้าระบบล่มทีเดียว 3–5 ระบบพร้อมกัน องค์กรจะยังทำงานต่อได้ไหม?”
ข้อมูลคืออาวุธ และความเชื่อมั่นคือเป้าหมายแรก
ในสงครามจำลอง NATO ให้ความสำคัญอย่างมากกับ Disinformation หรือการบิดเบือนข้อมูล เพราะเป็นการโจมตีที่
- เร็วที่สุด
- ต้นทุนต่ำที่สุด
- ทำลายความเชื่อใจของสังคมได้มากที่สุด
องค์กรเองก็เสี่ยงต่อรูปแบบการโจมตีนี้ เช่น
- ข่าวปลอมว่าองค์กรมีข้อมูลลูกค้ารั่ว
- แฮ็กเกอร์ปล่อยเอกสารปลอมทำให้หุ้นตก
- Deepfake ผู้บริหารให้ข้อมูลผิด
- การโจมตีเพื่อทำลายชื่อเสียงแบรนด์
ในยุคที่ AI ทำให้การสร้างข้อมูลปลอมง่ายขึ้น ผู้นำจึงต้องเตรียมแผนรับมือทั้งด้าน Cybersecurity และ Corporate Communication
AI กลายเป็น “ผู้ช่วยบัญชาการ” ในภาวะวิกฤต หนึ่งในจุดที่โดดเด่นที่สุดของการฝึกคือ NATO ใช้ “AI Decision Support” เพื่อช่วยผู้บัญชาการตัดสินใจในเหตุการณ์ที่ข้อมูลหลั่งไหลจำนวนมากพร้อมกัน โดย AI ถูกใช้เพื่อ:
- วิเคราะห์ภัยแบบเรียลไทม์
- แนะนำมาตรการโต้ตอบ
- คาดการณ์ผลกระทบ
- ลดเวลาในการประสานข้อมูลหลายหน่วยงาน
สัญญาณชัดเจนสำหรับผู้บริหาร คือ AI จะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการบริหารความเสี่ยงและความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCM) องค์กรที่ยังไม่เริ่มเอา AI เข้าไปในระบบตรวจจับภัยหรือ Threat Intelligence จะ “ช้ากว่าคู่แข่งอย่างน้อย 3–5 ปี”
Cybersecurity ไม่ใช่เรื่องของทีมไอทีอีกต่อไป — แต่เป็นความเสี่ยงระดับคณะกรรมการ (Board-Level Risk) สงครามไซเบอร์ที่ NATO จำลองแสดงให้เห็นว่าผลกระทบจากการโจมตีหนึ่งครั้งสามารถกระทบ รายได้, ความเชื่อมั่น, ห่วงโซ่อุปทาน, หุ้น และภาพลักษณ์องค์กร
ในหลายประเทศ คณะกรรมการบริษัท (Board) ต้องรายงาน “Cyber Readiness” ต่อหน่วยกำกับดูแล และในอีก 3 ปีข้างหน้า แนวโน้มนี้จะเกิดในหลายประเทศแถบเอเชียเช่นกัน
ถึงเวลาที่ผู้นำต้องตั้งคำถาม:
- องค์กรมี SOC หรือ Managed SOC ที่พร้อม 24/7 หรือไม่?
- มีแผน Incident Response ที่ทดสอบจริงปีละกี่ครั้ง?
- ถ้าโดน Ransomware วันนี้ จะกู้ระบบกลับได้ในกี่ชั่วโมง?
- ถ้าเกิดข่าวปลอมเกี่ยวกับบริษัท มี Crisis Comms พร้อมไหม?
บทเรียนสำหรับองค์กรไทย คือต้องคิดแบบประเทศมหาอำนาจ แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศคู่ขัดแย้งโดยตรง แต่เราก็มีปัจจัยเสี่ยงสูง ได้แก่
- การเป็นศูนย์กลางดิจิทัลในภูมิภาค
- มีธุรกิจสำคัญระดับโลก (การเงิน, โทรคมนาคม, พลังงาน)
- Supply Chain เชื่อมต่อกับหลายประเทศ
- ใช้โครงข่ายดิจิทัลเป็นหัวใจของเศรษฐกิจ
ฉะนั้นสิ่งที่ผู้นำควรทำตั้งแต่วันนี้:
✓ ยกระดับความมั่นคงไซเบอร์เป็นหนึ่งใน 3 วาระขององค์กร ✓ ปรับกลยุทธ์ Cybersecurity ให้ “บูรณาการทั้งองค์กร” ✓ ลงทุนในระบบ AI Security และ Threat Intelligence ✓ เตรียมแผนบริหารวิกฤตทั้งด้านเทคนิคและด้านสื่อสาร ✓ มอง Cybersecurity เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเชื่อมั่นลูกค้า และหุ้นส่วนธุรกิจ
สงครามไซเบอร์ที่ NATO จำลองไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือภาพสะท้อนโลกธุรกิจที่ทุกองค์กรกำลังก้าวเข้าไปเผชิญ ธุรกิจที่อยู่รอดไม่ใช่ธุรกิจที่ “แข็งแรงที่สุด” แต่คือธุรกิจที่รับมือเร็ว ฟื้นตัวไว และเตรียมพร้อมก่อนใคร เพราะอนาคตของความมั่นคงคือ “Digital Resilience”
ลงทุนด้าน Cybersecurity วันนี้ เพื่อความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า