Overview

Overview

การสื่อสารด้วยเสียงในปัจจุบันนั้น มีคำจำกัดความที่กว้างเกินกว่าการโทรเข้าและโทรออก เทคโนโลยีการสื่อสารด้วยเสียงในปัจจุบันสำหรับธุรกิจ สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งโทรศัพท์พื้นฐานตั้งโต๊ะ แบบสำนักงาน หรือจะเป็นวงจรเช่าบนโครงข่ายที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตู้สาขาประจำจุดต่างๆ ที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการใช้โทรศัพท์หลายสายพร้อมๆ กัน และที่มีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ คงจะหนีไม่พ้นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีคุณภาพสัญญาณครอบคลุม ทั้งนี้ แต่ละธุรกิจย่อมมีความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันไปในหลากหลายรูปแบบ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่สามารถออกแบบ “Voice Solution” รูปแบบการสื่อสารทางเสียงที่เหมาะสม และเชื่อมโยงกับการใช้งาน Internet ได้อย่างราบรื่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประหยัดต้นทุนในการใช้งาน

ปัญหาของระบบโทรศัพท์ Technology รูปแบบเก่า (PSTN)

PSTN หรือ Public Switch Telephone Network เป็นระบบสื่อสารแบบดั่งเดิมซึ่งเป็นการสื่อสารแบบวงจะสวิตช์ ถูกออกแบบมาเพื่อการสื่อส่รปรพเภทเสียง โดยมีการจองช่องสัญญานตลอดการใชงานทำให้สิ้นเปลือง bandwidth และมีต้นทุนในการจัดการที่สูงในขญะที่ปัจจุบันการใช้โทรศัพท์พื้นฐานผ่านโครงข่าย PSTN มีแนวโน้มการเจริญเติบโตค่นข้างต่ำ ในขณะที่ความต้องการใช้โทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสาร ใช้อินเตอร์เน็ตมีการเติบโตมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จาก บางพื้นที่ต้องการขอใช้โทรศัพท์พื้นฐานแต่ไม่สามารถติดตั้งได้เพราะคู่สายบริเวณนั้นเต็มต้องรอให้คู่สายบริเวณพื้นที่เดียวกันยกเลิกจึงจะสามารถนำไปติดตั้งให้ผู้ใช้รายอื่นต่อไป

ด้วยเหตุนี้ผู้ให้บริการจึงมีความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนเป็นระบบ VoIP เพื่อลดต้นทุนลง โดยปัญหาที่ลูกค้าเจอส่วนใหญ่มีดังนี้

1) ปัญหาด้านคุณภาพ

ระบบโทรศัพท์เดิมหรือระบบเก่ามีปัญหาการใชงานอยู่ตลอดเนื่องสายสัญญาณในรูปแบบสายทองแดงหรือ Fibre มีปัญหาบ่อยครั้ง ทำให้มีผลกระทบโดยตรงกับการใช้งานในธุรกิจ

2) อัตราค่าบริการสูง

ค่าบริการสูงทั้งในส่วนที่เป็นการโทรภายในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากระบบโทรศัพท์แบบเก่า (PSTN) มีค่าบำรุงรักษาเครือข่ายที่สูงมากและต้องใช้แรงงานเป็นจำนวนมากในการซ่อมบำรุง

3) ไม่สามารถขอติดตั้งได้

เนื่องจาก Demand ในปัจจุบันน้อยลงในเรื่องของการใช้งานโทรศัพท์ ด้วยเหตุนี้ บางพื้นที่ต้องการขอใช้โทรศัพท์พื้นฐานแต่ไม่สามารถติดตั้งได้เพราะคู่สายบริเวณนั้นเต็มต้องรอให้คู่สายบริเวณพื้นที่เดียวกันยกเลิกจึงจะสามารถนำไปติดตั้งให้ผู้ใช้รายอื่นต่อไป

ปัญหาของระบบ VoIP ทั่วไป

ปัจจุบันเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตพัฒนาจนเกิดเทคโนโลยีโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต VoIP จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้บริการ องค์กรธุรกิจต่างๆสะดวกมากขึ้น โดยจุดแข็งของ VoIP คือ อัตราค่าบริการที่ถูกกว่า เช่น ค่าบริการโทรศัพท์ทางไกล และค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ซึ่งระบบโทรศัพท์ไอพีจะเก็บค่าบริการเท่ากับค่าบริการการใช้โทรศัพท์ในพื้นที่ที่เชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์และค่าบริการรายเดือนที่ต้องจ่ายให้กับ ISP เท่านั้น จุดอ่อนของ VoIP คือ ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานของระบบ VoIP ที่แน่นอน มีอุปกรณ์ที่มีราคาและคุณภาพต่างกัน ส่งผลทำให้เกิดปัญหาการใช้งาน รวมถึงผู้ให้บริการ VoIP ส่วนใหญ่จะไม่สามาารถควยคุมภาพด้านอันเนื่องจาก ต้องไปพึ่งพาโครงข่ายของคนอื่นหรือ Internet ราคาถูกแต่ไม่สามารถควบคุมคุณภาพของเสียงที่ส่งผ่านได้ อันเนื่องมาจากหลายปัจจัยโดยเฉพาะการถูกแชร์ bandwidth เพื่อไปใช้งาน internet ด้านอื่นในขณะที่ยังใช้เสียงอยู้่บนท่อเดียวกัน

1) ราคาถูกแต่มีปัญหาเรื่องคุณภาพ

หลายองกรค์ที่เคยใช้งาน VoIP ก่อนโดยไม่ได้มีมาตระการควบคุมคุณภาพที่ได้มาตรฐานหรือไปผ่าน ผู้ให้บริการรายย่อยที่ไมีมีประสปการณ์เพียงพอ จึงทำให้พบกับปัญหาการใช้มากมาย ทำให้มีความเชื่อที่ว่าระบบ VOIP นั้นราคาถูกแต่คุณภาพไม่ได แต่แท้จริงแล้ว ปัจจุบัน ระบบ VoIP เป็นพื้นฐานของระบบ เสียงที่มีเกือบทั้งหมดในตลาดแล้ว เพียงแต่อาจจะมีผู้ให้บริการหรือผู้นำ VoIP เข้าไปใช้งานที่ยังขาดองค์ความรู้ ในการรักษาคุณภาพของเสียงให้ได้ตามมาตรฐานต่างหาก

2) ไม่สามารถโทรเข้าเบอร์ 3 หลัก หรือ 4 หลักได้

เป็นอีก 1 ปัญหาที่พบเห็น โดยเฉพาะเรื่องการโทรเข้า Emergency number หรือเบอร์ฉุกเฉินที่เช่น 191 ที่ต้องสามารถอนุญาติให้ลูกค้าสามมรถใช้งานได้ (ที่ต่างประเทศถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก) โดยผู้รับสายหรือตำรวจเองต้องสามารถระุได้หรือโทรกลับมาได้ว่าเป็นการโทรมาจากพื้นที่ไหน และโทรมาจากเบอรทอะไร ซึ่งผู้ให้บริการ Voip รายย่อยส่วนใหญ่จะไม่สามารถใหบริการได้

3) แก้ปัญหาล่าช้า

บริการหลังการขายไม่ดี แก้ไขปัญหาล่าช้าทำให้เกิดความเสียหายได้ โดยลูกค้าบางรายตีราคาค่าเสียหายจากเวลาที่ระบบใช้งานไม่ได้

วิธีเลือกผู้ให้บริการ VoIP ที่มีคุณภาพ

เนื่องจาก technology Voip ไม่มีมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพ จึงเป็นเหตุให้ผู้ให้บริการต้องกำหนดมาตรฐานเองตามประสพการณ์หรือความรู้ของตังเอง จึงเป็นให้เกิดความแตกต่างในเรื่องขอวมาตรฐานที่ให้ ดังนั้นไม่แปลกเลยถ้าปราศจากมาตรฐานที่ดี องค์ที่เคยใช้ VoIP ย่อมเคยได้รับประสพการณืที่แย่สำหรับการใช้ technology จึงเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจที่ผิดสำหรับ technology นี้ ว่าเป็นบริการที่ไม่มีคุณภาพ แต่แท้จริงแล้วร้อยละ 50% ของผู้ให้บริการชั้นทั่วโลกนั้นได้เปลี่ยนไปใช้ technology แล้ว รวมถึง ผู้ให้บริการชั้นนำในแระเทศไทย

เนื่องด้วยระบบ voip จะมีการเแปลงเสียงให้เป็น data ในรูปแบบของ packet ผ่านไปยังโครงข่าย Data หรือ Internet หรือ IP Network ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมคุณภาพของ Packet ที่ต้องเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ดังนั้นถ้า โครงข่ายมีปัญหาหรือผู้ให้บริการไม่สามารถควบคุมถึงปริมาณ packet ที่วิ่งผ่านได้ ท้ายสุดจะทำให้เกิดผลกระทบกับคุณภาพได้ทันที เพราะเหตุนี้ผู้ให้บริการควรจะต้อง มีความสามารถดังนี้

1) เป็นผู้ให้บริการด้าน Data หรือเป็น ISP

เป็นผู้ให้บริการ ISP (internet service provider) เพราะจะทำให้มีความสามารถในการควบคุมคุณภาพของ internet ได้ หรือต้องสามารถควบคุมคุณภาพของข้อปริมาณข้อมูล (throughput) ที่วิ่งผ่านได้ของสื่อสัญญานได้ เช่นใช้ Dedicated Leased line หรือ MPLS หรือ Dedicated internet เป็นต้นที่ราคาค่อนข้างสูง (ระหว่าง 7000-10,000 บาทต่อเดือน) หรือหรือถ้าจะเลือกใช้ Broadband หรือ FTTX หรือ 4G เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายก็ควร technology SD-WAN (software defined wan) เข้าช่วยในการจัดการเรื่องคุณภาพ

คำถามที่ต้องถาม

ถ้าผู้ให้บริการไม่มีเครือข่ายของตังเองหรือไม่สามารถมีวิธีควบคุม Packet ของ Voice ที่วิ่งบนสื่อสัญญาน แล้วผู้ให้บริการจะควบคุณคุณภาพของเสียงได้ยังไง ทั้งที่ตัวเองมองไม่มี Packet นั้นๆ หรือเพียงแค่ เชื่อว่าสื่อสัญญาที่ใช้นั้นมันต้องดีตามที่ Spec ได้บอกไว้

2) มีความชำนาญด้าน Network

หลายครั้งที่ระบบ network ภายในของลูกค้ามีการเปลี่ยนอันเนื่องมาจากการ upgrade firewall หรือ upgrade switch หรือเปลี่ยนแปลงผู้ให้บริการ internet ใหม่ หรือบางครั้งหลายองค์กรเลือกที่จะใช้บริการ Voip ผ่านทาง WiFi access point ของตัวเอง แต่ขาดความรู้ในการเข้าไปจัดการ เครือข่ายของตัวเองให้รองรับการใช้งานด้านเสียง ที่แตกต่างจากการใช้งานด้าน Data ทั่วไปเช่น Email หรือ Web จึงทำให้เกิดผลกระทลถึงคุณภาพของเสียงทันที

ผุ้ให้บริการด้าน VoIP ควรจะมีทีมงาน Network Engineer ที่มีความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาของ voice ที่มาจาก Network ภายในขององค์กรและสามารถแนะนำรูปแบบการ setup ที่ถูกต้องให้ได้เพื่อป้องกันปัญหาในระยะสั้นและยาว

คำถามที่ต้องถาม

กรณีที่เกิดปัญหาการโทรผ่าน VoIP ปกติผู้ให้บริการจะสามารถให้ข้อแนะนำที่ถูกต้องด้าน Network ภายในให้กับลูกค้าหรือเปล่าหรือเพียงแค่จะโดยนปัญหามาให้กับลุกค้าเพื่อทำการแก้ไขเอง

3) มีการเชื่อมต่อตรงกับโครงข่าย Voice ปลายทาง

ผู้ให้บริการที่ดีต้องมีโครงข่ายการเชื่อมตรงกับผู้ให้บริการปลายทางทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อควบคุณภาพเช่นถ้ากรณีโทรในประเทศ ก็ควรจะมีการเชื่อมต่อตรงกับ TOT True AIS DTAC และ CAT โดยที่ไม่ผ่านคนอื่นอีกที หรือถ้ามีการโทรไปต่างประเทศ ก็ควรที่จะเชื่อมต่อตรงกับผุ้ให้บริการที่อยู่ใรแต่ละประเทศนั้นๆ ผู้ให้บริการหลายรายจะอ้างว่าสามารถให้บริการที่คุณภาพได้แต่ถ้าไม่มีการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการปลายทางตรง โดยที่ต้องผ่านคนอื่นอีกที จะสามารถควบคุมคุณภาพได้ยัวไง

คำถามที่ต้องถาม

ผู้ให้บริการจะมั่นใจได้ยังไงว่า คุณภาพที่ใช้จะสามารถควบคุณคุณภาพได้ถ้าไม่ได้มีการเชื่อมต่อตรง กับผู้ให้บริการปลายทาง เวลามีปัญหาเกิดขึ้น จะรู้ได้ยังไงว่าปัญหาเป็นที่โครงข่ายปลายทางเองหรือเป็นที่สื่อสัญญานที่เชื่อมต่อเช่น กรณีทีมีการโทรตรงไปประเทศ Singapore ถ้าไม่ได้มีการเชื่อมต่อตรงไปที่ Singtel หรือ Stabub ที่เป็นเจ้าของโครงข่ายที่ Singapore แต่ไปเชื่อมกับ DTAC อย่างเดียว แล้วผู้ให้บริการ Voip จะสามารถควบคุมคุณภาพได้ยังไง

4) ใช้อุปกรณแปลงสัญญาน Voip Gateway ที่มีคุณภาพ

เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนว่าอุปกรณ์อะไร ที่สามารถใช้งานได้ทนทานและคุณภาพดี ยกเว้นแต่อุปกร์ที่ราคาสูงเหมือน Cisco โดยในตลาดมีอุปกรณ์หลายยี่ห้อ ที่แตกต่างกันไปด้านราคาและคุณภาพ โดยเฉพาะอุปกรณราคาประหยัดที่ส่วนใหญ่ ผู้ใช้งานมักจะมีปัญหากับการใชงานระยะยาว

คำถามที่ต้องถาม

ผู้ใช้งานใช้อุปกรณ์แปลงสัญญานอะไร และจะมั่นใจว่าอุปกรณ์ดังกล่าวดีได้ยังไงกรณีที่ไม่ใช้อุปกรณ์ที่มีราคาแพง

5) มีมาตรฐานในเรื่องของการควบคุณคุณภาพของบริการที่ใช้

มาตรฐานของแต่ละบริษัทในด้านการควบคุมคุณภาพอาจจะแตกต่างกัน แต่มาตรฐานที่มีการรับรองจากสถาบันชั้นนำ ย่อมนำไปสู่ผลที่แตกต่าง ดังนั้นปัจจุบัน มาตรฐานอย่างเช่น ISO 9001 จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ให้บริการ voip ควรมี

คำถามที่ต้องถาม

ผู้ให้บริการมีใบรับรองด้านคุณภาพจากสภาบันชั้นนำหรือไม่

ทำไมถึงเลือกใช้ Voice solution จากวันทูออล

1) เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีโอกาสลดค่าใช้จ่ายจากอัตราค่าบริการที่ประหยัดกว่า เพราะการลดค่าใช้จ่ายเปรียบเสมือนการเพิ่มผลกำไรอย่างยั่งยืนและถาวรจากการลดเพียงครั้งเดียว (ไมต้องใช้แรงต่อเนื่อง) เนื่องจาก ทุก 10,000 บาทที่ลดต่อเดือนเท่ากับรายได้ที่ 1,000,000  ล้านต่อปี (net profit = 12%) ซึ่งการลดค่าใช้จ่ายทำได้ง่ายกว่าการหารายได้ใหม่

2) เป็นเจ้าเดียวที่มีการรับประกันผลลัพธ์ในด้านการลดทุนให้ลูกค้าอย่างชัดเจน (KPI) ผ่านบริการ Managed Saving Services โดยการคืนเงินให้ลูกค้าในกรณีที่มีค่าใช้จ่ายเกิน จึงทำให้ลูกค้าสามารถ กำหนด budget ได้อย่างชัดเจนและแม่นยำ ลูกค้าจึงไม่ต้องบริหารการลดค่าใช้จ่ายเองเนื่องจากเราสามารถช่วยบริหารให้

3) ลูกค้าได้อัตราค่าบริการประหยัดกว่าที่เคยจ่าย 30-70%

4) ได้รับมาตรฐานคุณภาพ ISO 9001 ในบริการ VoiP

5) ประกอบธุรกิจมา 15 ปี โดยมีลูกค้าใช้บริการกว่า 350 รายในขณะนี้ โดยธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ที่ไว้วางใจให้เราลดค่าจ่ายให้รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาทต่อปี

6) เราเป็นผู้ให้บริการที่ technology ครบวงจรตั้งแต่ Voip รวมไปถึง Traditional Voice (PSTN) ในรูปแบบใช้สายและไร้สาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกรูปแบบ

คุณสมบัติพิเศษของ 1-TO-ALL Voice Solution

1) มีรูปแบบการให้บริการแบบผ่านโครงข่ายสายและไร้สาย จึงทำให้สามารถติดตั้งได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ

2) มี promotion พิเศษมากมายรองรับความต้องการของลูกค้าตั้ง package เหมาจ่าย, จ่ายตามจริง และ package buffet โทรไม่จำกัด

3) รองรับการเชื่อมต่อทั้งในรูปแบบ Analog, E1 (PRI) และ IP (SIP)

4) สามารถติดตั้งได้แบบ standalone หรือสามารถใช้งานควบคู่กับระบบเดิมได้ผ่านตู้ PBX โดยไม่มีผู้กระทบกับธุรกิจหรือกับผู้ใช้งานเลย

5) สามารถโทรไปยังหมายเลขต่างประเทศได้ผ่านบริการโทรทางไกลระหว่างประเทศของ 1-TO-ALL

6) มีอุปกรณ์เสริม connector สำหรับการเชื่อมต่อเข้ากับตู้ PBX ในกรณีที่ลูกค้าไม่มีอุปกรณ์รองรับการเชื่อมต่อเช่น card สายนอก Co line หรือ E1 ทำให้ลูกค้าประหยัดไม่ต้องลงทุนซื้ออุปกรณเพิ่มเติม

7) มีทีมงานผู้นาญการด้านตู้สาขา PBX จึงทำให้การเชื่อมต่อมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และสามารถแก้ปัญหาได้ เร็วกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่าในกรณีที่มีปัญหาเกิดขึ้น